สังเกตตัวเราว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่

มาลองสังเกตตัวเราว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่

สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่ ลองมาสำรวจอาการของโรคนี้ด้วยกันค่ะ

1.อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร อาจจะมีอาการดังต่อไปนี้คือ อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจร้าวไปที่บริเวณคอได้ รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ กลืนลำบาก หรือกลืนเจ็บ เจ็บคอ หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้ รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย
2.อาการทางกล่องเสียง และปอด เสียง แหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง ไอหรือรู้สึกสำลักในเวลากลางคืน กระแอมไอบ่อย เจ็บหน้าอก เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆ

ข้อขอบคุณ : yourhealthyguide.com

20 วิธีต้านภัยโรคกรดไหลย้อน

20 วิธีต้านภัยโรคกรดไหลย้อนหรือเจ้าเกิร์ด (GERD)

1. ทำใจ
ไม่ว่าจะมีภัยพิบัติใดเกิดขึ้น... ขั้นแรกคือ ต้องทำใจให้ได้ เช่น ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร

คนในโลก 6 พันล้านคนเป็นโรคนี้ตั้ง 1 พันล้านคน เป็นแล้วโลกก็จะไม่ทำให้โลกแตกอะไร
ควรหัดตั้งสติให้ได้ว่า โรคนี้ถึงจะ "ไม่หาย" แต่คนเกือบทั้งหมดก็ไม่ได้ตายด้วยโรคนี้

คนที่ตายด้วยโรคนี้ (เกิร์ดหรือกรดไหลย้อน) มีน้อยมากๆ คือ หลอดอาหารบางคนอักเสบเรื้อรัง กลายเป็นมะเร็งหลอดอาหาร แต่ก็พบน้อยมากๆ ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆ "ร่วมโรค" ของเราอีก 1 พันล้านคนคงจะตายเรียบไปหมดแล้ว
พอทำใจได้แล้วจะได้ตั้งใจอยู่กับมันให้ได้ และตั้งหน้าตั้งตาปรับเปลี่ยนแบบแผนการใช้ชีวิต (ไลฟ์สไตล์ / lifestyle) ให้เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบาต่อไป

2. ลดความอ้วน
ถ้าอ้วน > ควรหาทางลดน้ำหนัก เนื่องจากไขมันในช่องท้อง และไขมันรอบพุงต่างก็มีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น

3. ลดเครียด
ถ้าเครียดง่าย > ควรหาทางลดความเครียด เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ ฝึกหายใจช้าๆ ไม่เกิน 10 ครั้งต่อนาที วันละ 15 นาที ฝึกไทเกก-ไทชิ มวยจีน โยคะ ฯลฯ

เวลาดู TV ไทยต้องมีรีโมตไว้ใกล้ตัว > พอเห็นข่าวร้ายๆ เช่น ข่าวพวกประท้วงทั้ง 2 ฝ่าย ข่าว 3 จังหวัดภาคใต้ ข่าวชายแดนเขมร ฯลฯ จะได้รีบปิด TV หรือเปลี่ยนช่องทันที
ถ้ารู้ตัวว่า ขวัญอ่อน... อย่าไปดูข่าวการเมืองมากเกิน เพราะความเครียดจะทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารออกมามากขึ้นได้

4. เลิกบุหรี่
ถ้าสูบบุหรี่... ควรเลิกบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

ถ้าไม่สูบบุหรี่... อย่าสูบเลยครับ
คนที่ไม่สูบบุหรี่มีโอกาสอายุยืนกว่าคนสูบบุหรี่ประมาณ 12 ปี แถมยังลดโอกาสป่วยหนักก่อนตายอีกประมาณ 1 ปี 8 เดือน เช่น ลดความเสี่ยง (โอกาส) เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งอาจถูกเจาะคอ ใส่เครื่องช่วยหายใจก่อนตาย ฯลฯ

5.ไม่สวมเสื้อผ้าคับ
การสวมเสื้อผ้าคับเพิ่มความดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น

6. ระวังท้องผูก
การเบ่งอะไรนานๆ โดยเฉพาะเบ่งถ่ายอุจจาระเวลาท้องผูก มีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น

วิธีป้องกันท้องผูกที่ดีคือ กินเส้นใย(ไฟเบอร์)จากพืชผักให้มากพอทุกวัน ดื่มน้ำให้มากพอ และออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ

7. ระวังโรคไอ
โรคอะไรก็ได้ที่ทำให้ไอเรื้อรังจะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแรงดันในช่องท้องจะเพิ่มขึ้นมากเวลาไอ

8. ไม่กินอิ่มเกิน
คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อนหรือเกิร์ดควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กหน่อย วันละหลายๆ มื้อ เช่น วันละ 4-5 มื้อ ฯลฯ

การกินอาหารมื้อใหญ่ๆ โดยเฉพาะการไปงานเลี้ยงหรือกินฟรี จะทำให้อาหาร น้ำ และลมในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นมาก ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนมาก

9. ไม่กินข้าวคำน้ำคำ
การกินข้าวคำน้ำคำ หรือการดื่มน้ำตามหลังอาหารแทบทุกคำจะทำให้ปริมาณอาหาร น้ำ และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนมาก

ถ้าเป็นไปได้... ควรกินอาหารแค่พออิ่ม อย่าให้อิ่มเกิน อิ่มแล้วรอสักพัก 10-15 นาทีค่อยดื่มน้ำตาม

10. ไม่กินไปพูดไป
การกินไปพูดไปจะทำให้เผลอกลืนลม(อากาศ)เข้าไปพร้อมอาหาร ทำให้ปริมาณอาหาร น้ำ และลมรวมกันมากเกิน ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนมาก

11. มื้อค่ำคำเล็กๆ
อาหารมื้อเย็นหรือมื้อค่ำควรฝึกกินคำเล็กๆ กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และกินให้เร็วขึ้น เช่น ถ้ากินตอน 2 ทุ่มควรเปลี่ยนเป็น 1 ทุ่ม ฯลฯ และเปลี่ยนเวลากินข้าวเย็นให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนอาการทุเลาลง

การกินอาหารใกล้เวลานอนจะทำให้อาหารที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร น้ำ และน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่าย เนื่องจากหลอดอาหารจะเปลี่ยนแกนจากแนวตั้งเป็นแนวนอน

เปรียบคล้ายขวดน้ำ... ถ้าเปลี่ยนจากแนวตั้งเป็นแนวนอนแล้ว น้ำจะไหลออกจากขวดได้ง่ายขึ้น
ยิ่งถ้าไม่กินข้าวเย็นแบบพระได้ยิ่งดี เพราะโรคเกิร์ดไม่ถูกกับข้าวเย็น และที่เสี่ยงแบบสุดๆ คือ มื้อดึก ซึ่งควรงดไปเลย

12. ยืน เดิน หรือนั่งหลังอาหาร
การก้มตัว โดยเฉพาะการยกของหนักมีส่วนทำให้กรดไหลย้อนได้ง่าย

การก้มตัวไปข้างหน้า หรือเอี้ยวตัวไปด้านข้างหลังอาหารทันทีทำให้กรดไหลย้อนได้ง่าย เปรียบคล้ายการเอียงขวดใส่น้ำให้อยู่ในแนวราบ น้ำจะหกได้ง่าย

13. ไม่ยกของหนัก
การยกของหนักหลังอาหารทันทีจะทำให้แรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นมาก ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้นมาก

การยกของหนักทำให้แรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น ทางที่ปลอดภัยกว่าคือ ไม่ยกของหนักภายใน 2 ชั่วโมงแรกหลังอาหาร

14. กินอาหารไขมันต่ำ
อาหารไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารประเภท "ผัดๆ ทอดๆ" หรืออาหารที่มีน้ำมันมาก เช่น กินสลัดผักแบบเทน้ำสลัดโชกหยาดเยิ้ม หรือกินแกงกะทิมากๆ ฯลฯ มีส่วนทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น

15. หลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง
อาหารบางอย่างอาจทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น พวกเราที่เป็นโรคเกิร์ดควรสังเกตว่า เราถูกกับอาหารอะไร ไม่ถูกกับอาหารอะไร จดบันทึกไว้ ต่อไปจะได้ปรับเปลี่ยนได้ ฯลฯ

อาหารที่ไม่ถูกหรือแสลงกับโรคก็ควรกินแต่น้อย ไม่ต้องถึงกับงดจนเป็นศูนย์ เดี๋ยวชีวิตจะไม่มีความสุข
หลักการคือ ขอให้ชีวิตเรามีความสุขที่ได้มีโดยชอบธรรม ไม่ไปคดโกง ไม่ไปเบียดเบียนใคร และขอให้แสวงหาความสุขที่ได้โดยชอบธรรมนี้แต่พอดี ไม่เสพสุขมากจนทำให้ตัวเรา หรือคนอื่นเดือดร้อน

อาหารที่อาการทำให้โรคเกิร์ดหรือกรดไหลย้อนแย่ลงได้แก่ หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ อาหารจานด่วน(ฟาสต์ฟูด) ชอคโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ นม หรืออาหารรสจัดบางอย่าง
ถ้าดื่มนม... ควรเปลี่ยนนมเป็นนมไขมันต่ำ หรือนมไม่มีไขมัน

16. ไม่ดื่มน้ำคราวละมากเกิน
การดื่มน้ำคราวละมากๆ เช่น 4-5 แก้วรวดเดียว ฯลฯ จะทำให้ปริมาตรอาหาร น้ำ และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่าย

17. ไม่ดื่มเครื่องดื่มมากเกิน
ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มมากเกินด้วยเหตุผลเดียวกับข้อ (16) เครื่องดื่มที่อาจทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายคือ กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง แอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ สาโท ฯลฯ

18. ลดน้ำอัดลม
น้ำอัดลมทำให้ปริมาตรของลม(อากาศ)และน้ำในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้อ้วนง่ายด้วย

19. ลดน้ำผลไม้
น้ำผลไม้มีน้ำตาลมาก ทำให้อิ่มได้น้อย ทำให้ปริมาตรของลม(อากาศ)และน้ำในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ผลคือ กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้อ้วนง่ายด้วย

20. นอนหัวสูง
นอนหัวสูงในที่นี้ไม่ใช่หนุนหมอนหลายๆ ใบ เนื่องจากการหนุนหมอนหลายๆ ใบจะทำให้ปวดคอได้ง่าย

วิธีที่ดีกว่าคือ การหาแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะที่แข็งแรงมั่นคงมารองขาเตียงด้านหัวให้สูงขึ้น 6-10 นิ้ว เพื่อให้หลอดอาหารอยู่ในแนวตั้งมากขึ้นดังภาพ

การรองหัวเตียงทำให้หลอดอาหารอยู่ในแนวนอนน้อยลง แนวตั้งเพิ่มขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนขึ้นเบื้องบนได้น้อยลง
ถ้าเป็นไปได้... ควรหาอะไรป้องกันไม่ให้ลำตัวลื่นไหลตกไปด้านปลายเตียงด้วยจึงจะดี

ถ้าทำทุกวิธีแล้วอะไรๆ ยังไม่ดีขึ้น เรียนเสนอให้ปรึกษาหมอ เภสัชกร พยาบาล หรือหมออนามัยใกล้บ้าน เพื่อพิจารณาใช้ยาลดกรด (ทำให้การหลั่งกรดลดลง) และยาเสริมการทำงานของหูรูดหลอดอาหาร (ทำให้กรดไหลย้อนได้น้อยลง)

"เกิร์ด (gastroesophageal reflux disease / GERD) กลายเป็นโรคสุดฮิตแทน

ที่มา : oknation.net

การรักษาโรคกรดไหลย้อน

การรักษาโรคกรดไหลย้อน

การรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
งดการสูบบหรี่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ
ลดอาหารมัน ของทอด ของหวาน
รับประทานอาหารให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง
ลดน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี

แนะนำการรักษากรดไหลย้อน
1. ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน การรักษาวิธีนี้มีความสำคัญมากโดยจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้อยลง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร และป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปในระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ส่วนบนมากขึ้น ที่สำคัญการรักษาด้วยวิธีนี้ควรทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นหรือหายดีแล้วโดยไม่ต้องรับประทานยาแล้วก็ตาม

นิสัยส่วนตัว
ถ้าเป็นไปได้ ควรพยายามลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกิน เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินจะทำให้ความดันในช่องท้องมากขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนได้มากขึ้น พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้เครียด และถ้าสูบบุหรี่อยู่ ควรเลิก เพราะความเครียดและการสูบบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดมากขึ้น ถ้าไม่เคยสูบบุหรี่ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือควันบุหรี่ หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว

นิสัยในการรับประทาน
หลังจากรับประทานอาหารทันที พยายามหลีกเลี่ยงการนอนราบ การออกกำลัง ยกของหนัก เอี้ยวหรือก้มตัว

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึก และไม่ควรรับประทานอาหารใด ๆ อย่างน้อยภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมงก่อนนอน

พยายามรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟูด ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม สะระแหน่ เนย ไข่ นม หรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เป็นต้น
รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ ไม่ควรรับประทานอาหารมากเกินไป ควรรับประทานอาหารปริมาณทีละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท เช่น กาแฟ (แม้จะเป็นกาแฟที่ไม่มีกาเฟอีนก็ตาม) ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ วิสกี้ ไวน์ โดยเฉพาะในตอนเย็น

นิสัยในการนอน
ถ้าจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรรอประมาณ 3-4 ชั่วโมง เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6 - 10 นิ้วจากพื้นราบ โดยใช้วัสดุรองขาเตียง เช่น ไม้ อิฐ อย่ายกศีรษะให้สูงขึ้นโดยการใช้หมอนรองศีรษะ เพราะจะทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น

พบว่าประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนสามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร หรือเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหารในการกำจัดกรด ปัจจุบันยาลดกรดกลุ่ม proton pump inhibitor เป็นยาที่สามารถยับยั้งการหลั่งกรดได้ดี สามารถเห็นผลการรักษาเร็ว ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยา หรือ หยุดยาเอง นอกจากแพทย์แนะนำ และควรมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจใช้เวลานานประมาณ 1 - 3 เดือน กว่าที่อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น
อาการต่างๆ อาจไม่ดีขึ้นเร็ว ต้องใช้เวลาในการหาย เมื่ออาการต่าง ๆ ดีขึ้น และผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวันข้างต้นดังกล่าว ได้ และได้รับประทานยาต่อเนื่อง แพทย์จะปรับลดขนาดยาลงเรื่อยๆ ทีละน้อย ที่สำคัญไม่ควรซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น

การรักษาโดยใช้ยา
จะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีการอักเสบของหลอดอาหาร ตัวยาลดกรด (Antacids) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง และยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคกรดไหลย้อนที่แพทย์นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ ยาลดกรดในกลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (Proton pump inhibitors) โดยการใช้ยา ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ถ้าไม่มีดีขึ้น อาจพิจารณาให้มีการตรวจเพิ่มเติม เช่น
การกลืนแป้งตรวจกระเพาะ
การส่องกล้องตรวจกระเพาะ (ไม่นิยมใช้เนื่องจากวินิจฉัยได้ยาก)

การผ่าตัด
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง รักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จึงจะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด ผูกหูรูดกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมาอีก